THE INFLUENCE OF THE FOURTH PRECEPT OF PAÑCASĪLA ON THE POLITICAL EXPRESSION DEVELOPMENT THROUGH SOCIAL MEDIA OF THE PEOPLE IN DEMOCRACY

Abstract

Social media was full of political conflicts, even though it should be a public space for expression according to democratic freedom. It should promote behavior according to the Fourth Precept of Pañcasīla to reduce this problem. This article was a part of a doctoral dissertation with the objectives; 1) to study the influencing factors of the Fourth Precept of Pañcasīla on the political expression development through social media of the people in democracy, 2) To develop the political expression through social media of the people in democracy according to the Fourth Precept of Pañcasīla and 3) To present a model for developing political expression through social media for the people in a democracy according to the Fourth Precept of Pañcasīla that was appropriate and should be in the future. This research was mixed method research, consisted of theoretical model development and quantitative data collection, using questionnaires from a sample of Generation Z, aged 18–34 who had expressed political opinions on social media and Structural Equation Modeling (SEM) analysis along with qualitative data collection through in-depth interviews and focus group discussions to verify the developed model.The research results found that, Phase 1 research: Thai Generation Z understood and practiced the Fourth Precept of Pañcasīla at a moderate level, with significant differences among individuals. The SEM analysis results indicated a statistically significant positive relationship between the various factors according to the theoretical concepts, including: understanding the Fourth Precept of Pañcasīla leaded to awareness and practice, which in turn leaded to an active listen and self-inquiry. These processes leaded to a higher quality of political expression through social media. Phase 2 research; using in-depth interviews confirmed these findings, emphasizing that improving the quality of political expression should start with cultivating the Fourth Precept of Pañcasīla at the individual level, along with practicing active listening and self-inquiry behaviors. Phase 3 research; using focus group discussions supported the systematic advancement with collaborative efforts from all parties, including family institutions, education, religion, media, and the government sector, to transform values into political maturity based on morality, truth, and responsibility towards the public.

สื่อสังคมออนไลน์เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองทั้งที่ควรเป็นพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกตามหลักเสรีภาพประชาธิปไตย ซึ่งการส่งเสริมการประพฤติตนตามหลักเบญจศีลข้อที่ 4 อันเป็นคุณธรรมสำคัญพื้นฐานในพระพุทธศาสนาจะช่วยลดสภาพปัญหานี้ ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลของเบญจศีลข้อที่ 4 ต่อการพัฒนาการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย 2) เพื่อพัฒนาการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยตามหลักเบญจศีลข้อที่ 4 และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยตามหลักเบญจศีลข้อที่ 4 ที่เหมาะสมและควรจะเป็นในอนาคต โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Research Methods) ประกอบด้วย การพัฒนาโมเดลเชิงทฤษฎี การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างเจนเนอเรชั่น Z อายุ 18–34 ปี ที่เคยแสดงความคิดเห็นการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และการวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Modeling - SEM) ควบคู่กับการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มเฉพาะเพื่อทวนสอบรูปแบบที่พัฒนาผลการวิจัยพบว่า การวิจัยระยะที่ 1 ประชาชนไทยเจนเนอเรชั่น Z เข้าใจและปฏิบัติตามหลักเบญจศีลข้อที่ 4 ระดับปานกลาง ต่างกันแต่ละบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิเคราะห์SEMชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ตามแนวคิดทฤษฎี ได้แก่ ความเข้าใจเบญจศีลข้อที่ 4 ส่งผลให้ตระหนักและปฏิบัติตาม ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้เปิดใจรับฟังและตั้งคำถามกับตนเอง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้นำมาซึ่งคุณภาพการแสดงออกทางการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่สูงขึ้น การวิจัยระยะที่ 2 จากการสัมภาษณ์เชิงลึกยืนยันข้อค้นพบดังกล่าวโดยเน้นว่า การพัฒนาคุณภาพการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ควรเริ่มจากปลูกฝังเบญจศีลข้อที่ 4 ในระดับบุคคลควบคู่กับฝึกฝนพฤติกรรมเปิดใจรับฟังและตั้งคำถามกับตนเอง การวิจัยระยะที่ 3 จากการสนทนากลุ่มเฉพาะสนับสนุนการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งสถาบันครอบครัว การศึกษา ศาสนา สื่อมวลชน และภาครัฐ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมสู่วุฒิภาวะทางการเมืองบนฐานแห่งศีลธรรม ความจริง และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม