Innovative Leadership of School Administrators Affecting the Effectiveness of Private Schools in Loei Province

Abstract

This research aimed to 1) study the level of innovative leadership among school administrators in private schools in Loei Province, 2) examine the level of school effectiveness in private schools in Loei Province, 3) investigate the relationship between innovative leadership and school effectiveness, and 4) identify components of innovative leadership that affect school effectiveness in private schools. The sample consisted of 214 participants including school administrators and teachers from private schools in Loei Province. The sample was selected through stratified random sampling based on school size and position. The research instruments were questionnaires on the innovative leadership of school administrators and school effectiveness, with reliability coefficients of 0.964 and 0.967, respectively. Data were analyzed using descriptive statistics including frequency, percentage, mean, and standard deviation, and inferential statistics including Pearson’s product-moment correlation coefficient and stepwise multiple regression analysis. The findings revealed that: 1. The overall level of innovative leadership of school administrators washigh. 2. The overall level of school effectiveness was high. 3. There was a statistically significant high positive correlation between innovative leadership and school effectiveness at the .01 level (r = 0.797). 4. The components of innovative leadership that significantly predicted school effectiveness were risk management (X5) and creation of an innovative organization (X3), which together accounted for 74.4% of the variance in school effectiveness (R² = 0.744). The prediction equations were: Unstandardized Prediction Equation : Ŷ = 0.610 + 0.665X5 + 0.209X3 Standardized Prediction Equation : Ẑ = 0.702X5 + 0.205X3 The results confirmed that the innovative leadership of school administrators is a crucial factor influencing the effectiveness of private schools, particularly in the areas of risk management and fostering innovation within the organization.

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมกับประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย และ 4) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย จำนวน 214 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำแนกตามขนาดสถานศึกษาและตำแหน่งหน้าที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.964 และ 0.967 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) แบบขั้นตอน (Stepwise) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และพยากรณ์ผล ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยรวมมีความสัมพันธ์ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = 0.797) 4. ตัวแปรภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียน ได้แก่ การบริหารความเสี่ยง (X5) และการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรม (X3) ซึ่งร่วมกันสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนได้ร้อยละ 74.4 (R² = 0.744) โดยมีสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Ŷ = 0.610 + 0.665X5 + 0.209X3) และคะแนนมาตรฐาน (Ẑ = 0.702X5 + 0.205X3) ผลการวิจัยยืนยันว่า ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะในด้านการบริหารความเสี่ยงและการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในองค์กร